ลังกาหลวง อลังการ แห่งขุนเขา - ตอนที่ 3 วันที่ สอง จาก ดอยลังกาน้อย มุ่งสู่ ดอยลังกาหลวง

เราตื่นขึ้นมายามรุ่งสาง อากาศหนาวจัดมาก หลังจากรับประทานอาหารเช้าจากฝีมือพ่อครัวจำเป็นแล้ว ก็เก็บข้าวของพร้อมที่จะออกเดินทางต่อไป สู่ดอยลังกาหลวง

เส้นทางทางช่วงนี้ เป็นทางราบสลับกับขึ้นเขาเป็นระยะๆ จะพบกับสภาพป่ามีความแตกต่างกันทั้งป่าดิบเขา ทุ่งหญ้าคา และป่าสนเขา ที่สวยงาม และอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทยเลยทีเดียว นอกจากนี้ ระหว่างทางยังมีน้ำตกเล็กๆ ให้เราได้แวะล้างหน้าล้างตา และพักเหนื่อยชั่วครู่

ตลอดเส้นทาง ต้องเดินลัดเลาะผ่านสันเขา เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าคาที่รกชันสูงท่วมหัว มือขวาถือไม้เท้า คอยค้ำยัน เวลาเดินขึ้นทางชัน และคอยปัดป้อง หญ้าคา เสมือนแหวกว่ายอยู่ในทะเลหญ้าคา แต่ประโยชน์ของหญ้าคาก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย แม้ว่าจะคอยสร้างความหงุดหงิดและความยากลำบากให้เวลาเดิน แต่ในทางกลับกัน หญ้าคาก็กลายเป็น “เบรกมือ” ชั้นดี ตอนที่ต้องเดินลงเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามเช้าที่น้ำค้างยังมิทันจะเหือดแห้ง พื้นดินที่เปียกชื้น สร้างความยากลำบากในการเดินให้เกิดขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ แม้แต่รองเท้าเดินป่า ชั้นดี ก็มีสิทธิพลาดได้ แต่ถ้าใช้เบรกมือ ธรรมชาติช่วยแล้ว การประคองตัวเดินลงบนทางลาดชัดก็ดูดีและคล่องตัวขึ้นอีกเยอะ

พวกเราทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ทางขึ้นนั้นแม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อย เดินช้า ใช้เวลานาน ก็ยังดีกว่า ทางลง ที่แม้จะเร็ว แต่ก็มีสิทธิลื่นล้มหัวคะมำเอาง่ายๆ แล้วยังต้องออกแรงเกร็งนิ้วเท้าจนเล็บเขียว เพื่อจิกลงบนพื้นไม่ให้ลื่น แต่ไม่ใช่อย่างที่พวกเราคนเมืองเข้าใจหรอก มาคราวนี้ เราได้เรียนรู้ทักษะการเดินป่า จาก “นิต” เจ้าหน้าที่ผู้เป็นทั้ง คนนำทาง คนให้ความรู้ คนดูแล และอีกสารพัด เขาบอกเราว่า เดินลงเขานั้นง่ายนิดเดียว ไม่ต้องเกร็ง ปล่อยให้เท้าสัมผัสกับพื้นดินไปตามธรรมชาติ พร้อมกับ อาศัยต้นหญ้า รกๆ นั่นแหละ ช่วยพยุงตัว เป็นเสมือนเบรกมือเมื่อเราต้องการหยุด หรือ ชลอความเร็ว หลังจากเราเรียนรู้เทคนิคการเดินลงเขาจาก”นิต” แล้ว รู้สึกว่าการเดินลงเขามีรสชาด สนุกเหมือน กำลังร่อนอยู่บนลานสเก็ตเลยทีเดียว

จากลังกาน้อยสู่ลังกาหลวง ใช้เวลาประมาณ 5 - 6 ชั่วโมง เราเลือกตั้งแคมป์พักแรม ด้านล่างห่างจากยอดดอยประมาณ 800 เมตร หรือ ใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งสวยไม่แพ้ที่ดอยลังกาน้อย เราไม่อยากเปรียบว่าที่ไหนสวยกว่ากัน เพราะทั้งสองที่ แม้ว่าพระอาทิตย์จะดวงเดียวกัน แต่สภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ก็ทำให้ความสวยงามแปรเปลี่ยนไปได้ พวกเรานั่งดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ณ ช่วงเวลานี้ สีแดงสดของดวงตะวัน จับไปทั้งขอบฟ้าตัดกับสีฟ้าครามของท้องฟ้าในยามเย็น เป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำอย่างไม่รู้ลืม เมื่อพระอาทิตย์ลาจากไปความมืดที่มาพร้อมกับความหนาวเย็นก็เข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็วอีกครั้ง

บริเวณเที่ตั้งแคมป์พักแรมป็นชัยภูมิที่ดี อากาศหนาวน้อยกว่ายอดดอยลังกาน้อย เนื่องจากมีต้นไม้กำบังลม ร่มรื่น และที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากแหล่งน้ำ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกพักแรกกันที่นี่ บริเวณนี้ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หมูป่า ที่ชอบออกมาหาอาหารบริเวณรอบๆ คืนนี้พวกเราเข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางในวันสุดท้าย เนื่องจากเป็นวันที่เราจะต้องเดินกันยาว ต้องออกเดินทางแต่กันตั้งแต่เช้า เพื่อให้ไปถึงสถานีทวนสัญญาณก่อนมืด