อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ หรือที่เรียกสั้นๆกันว่า ปราสาทเมืองสิงห์
ปราสาทเมืองสิงห์ เป็นเมืองโบราณ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อย ตำบลเมืองสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ปราสาทเมืองสิงห์ มีอายุอยู่ประมาณพุทธศวรรษที่ 18 - 19 ตัวเมืองมีกำแพงและคูน้ำล้อมรอบ เป็นรูปสี่เหลี่ยมอยู่หลายชั้น
![ปราสาทเมืองสิงห์ โบราณสถานในสมัยพุทธศวรรษที่ 18](https://www.thaizest.com/trip/12/images/0000000060.jpg)
ปราสาทเมืองสิงห์ โบราณสถานในสมัยพุทธศวรรษที่ 18
ตัวปราสาทเมืองสิงห์เป็นศาสนสถานตั้งอยู่กลางเมือง สร้างขึ้นตามแบบขอม และพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 500 ไร่ ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
อันเป็นลักษณะของการวางทิศตัวอาคารในศิลปขอม สร้างด้วยศิลาแลงบนฐานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ 40 เมตร ยาวประมาณ 50 เมตร มีปรางค์ประธานตั้งอยู่ตรงกลาง มีระเบียงคดก่อด้วยศิลาแลง ล้อมรอบมีประตูซุ้ม ยอดเป็นปรางค์ทั้งสี่ด้าน ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปรางค์ประธานมีบรรณศาลาตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ตัวปราสาทมีกำแพงแก้วสร้างด้วยศิลาแลงล้อมรอบ จากการสันนิษฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ พอเชื่อได้ว่า ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16 - 18 เป็นห้วงระยะเวลาที่อาณาจักรทวาราวดีเสื่อมอำนาจลง อิทธิพลของศิลปขอมได้แพร่ขยายเข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางของประเทศไทย ปัจจุบันค้นพบโบราณสถานและโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก
จุดชมที่สำคัญของปราสาทเมืองสิงห์
1. โบราณสถานหมายเลขหนึ่ง
![เข้าสู่ด้านหน้าของ ปราสาทเมืองสิงห์](https://www.thaizest.com/trip/12/images/0000000061.jpg)
เข้าสู่ด้านหน้าของ ปราสาทเมืองสิงห์
โบราณสถานแห่งนี้ คือ หัวใจ และ ขวัญ ของเมืองสิงห์ เนื่องจากตั้งอยู่ในตำแหน่งศูนย์ กลางของเมือง โดยเห็นได้จากประตูเมืองทั้ง 4 ทิศ มุ่งหน้าเป็นเส้นตรงเข้าสู่ตัวปราสาท ลักษณะของอาคารแต่เดิม มีการตกแต่งฉาบผิวด้วยปูนขาว และประดับด้วยลวดลายปูนนั้น ซึ่งในปัจจุบันได้กะเทาะหลุดล่วงไปจนหมดสิ้นแล้ว คงเหลือให้เห็นเพียงโครงสร้างที่ก่อด้วยศิลาแลงเท่านั้น ทางเข้าปราสาทอยู่ด้านทิศตะวันออก โดยต้องผ่านขึ้นทางพลับพลาจตุร มุขที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นจึงจะผ่านเข้าซุ้มประตูกำแพงแก้ว และลานกว้างซึ่งทอดยาวไปสู่ตัวปราสาท ถัดจากลานกว้างไปนี้ มีบันไดชันขึ้นตัวปราสาท โดยผ่านเข้าทางซุ้มประตู หรือที่เรียกว่า "โคปุระ" ซุ้มประตูนี้มีทั้งหมด 4 ทิศ แต่ละซุ้มเชื่อมต่อกันด้วยช่องทางเดินที่มีหลังคาคลุม เรียกว่า "ระเบียงคด" พ้นจากซุ้มประตูเข้าไป เป็นลานโล่งสำหรับประกอบพิธีกรรม
ก่อนที่จะขึ้นไปบนปรางค์ ประธานอันเป็นที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า ด้านข้างของลานประกอบพิธีกรรมนี้มีอาคาร ขนาดเล็กที่เรียกว่า "บรรณาลัย" หรือ หอไตรสำหรับเก็บคัมภีร์ทางพุทธศาสนาฝ่ายมหาชน ในปรางค์ประธาน เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ในภาคที่เรียกว่า "เปล่งรัศมี" (ในศาสนาพุทธนิกายมหายาน พระโพธิสัตว์ หมายถึงผู้ที่ได้ตรัสรู้เป็นองค์ สัมมาสัมพุทธเจ้า) นอกจากนี้ที่ซุ้มประตู หรือ "โคปุระ" ด้านหลัง ยังประดิษฐานรูปเคารพของนางปรัชญาปารมิตา (เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด ในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน) อีกด้วย
2. โบราณสถานหมายเลขสอง
![ลักษณะของ โบราณสถานหมายเลข 2](https://www.thaizest.com/trip/12/images/0000000062.jpg)
ลักษณะของ โบราณสถานหมายเลข 2
เป็นโบราณสถานก่อด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโบราณสถานหมายเลข 1 ซึ่งเป็นโบราณสถานหลักตัวปราสาท หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ลักษณะแผนผังประกอบด้วยด้วยซุ้มประตู โคปุระ ระเบียงคด และตัวปราสาท คล้ายคลึงกับโบราณสถานหมายเลข 1 แต่พังทลายมากจนทำให้แผนผังค่อนข้างสับสน จากบันไดขึ้นมาจะเป็นชาลาทอดยาวไปจนถึงบันไดซุ้มประตูหรือโคปุระหน้า ถัดไปเป็นปราสาทประธานซุ้มประตูหรือโคปุระด้านข้างและด้านหลัง ในการขุดแต่งได้พบประติมากรรมและแท่นฐานประติมากรรมวางเป็นแนวตามระเบียงคดจำนวนมาก ประติมากรรมที่พบ ได้แก่ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร นางปรัชญาปารมิตา ลักษณะแบบอิทธิพลพื้นเมืองปนอยู่มาก จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบสันนิษฐานว่าโบราณสถานแห่งนี้สร้างหลังโบราณสถานหมายเลข 1
3. หลุมขุดค้นโครงกระดูก
![โครงกระดูกที่ถูกค้นพบ มีอายุราว 2,000 ปี](https://www.thaizest.com/trip/12/images/0000000063.jpg)
โครงกระดูกที่ถูกค้นพบ มีอายุราว 2,000 ปี
นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศใต้ริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย ได้ขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ลักษณะของศพนอนหงายเหยียดยาว ไม่มีทิศทางการฝังที่แน่นอน ภายในหลุมศพจะพบโบราณวัตถุ ซึ่งอาจหมายถึงเครื่องเซ่น หรือของใช้ของผู้ตายฝังรวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก เช่น ภาชนะสำริด เครื่องมือเหล็ก ภาชนะดินเผา เครื่องประดับทำจากเปลือกหอย ลูกปัดหินและลูกปัดแก้ว หลุมฝังศพสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่คล้ายกันนี้มีอยู่หลายแห่งตามริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย ในเขตอำเภคไทรโยค จนถึงเขตอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณอายุได้ราว 2,000 ปีมาแล้ว แสดงให้เห็นว่าคนโบราณได้มาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้มานานก่อนหน้าที่จะมีการสร้างปราสาทเมืองสิงห์ในพุทธศตวรรษที่ 18